감동 เข็ดหลาบกับการตั้งครรภ์แฝด
페이지 정보
본문
สวัสดีค่ะ เราอายุ 35 ปี กำลังตั้งครรภ์แฝด 2 โดยที่ขณะนี้สภาพร่างกายเราย่ำแย่มากๆค่ะ อายุครรภ์คือ 29 สัปดาห์ แต่รู้สึกเหมือนทุกๆวันมันผ่านไปช้ามากๆจริงๆ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ครั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนแรก ความสุขสบายกายทั้งหมดได้หายไปทั้งหมดเลย เราตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งแรก ไม่เคยมีอาการแบบที่เป็นอยู่นี้เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ ต่างกันมากๆ จนเรารู้สึกว่า การตั้งครรภ์ครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจเราด้วยเช่นกัน ในด้านความเครียด เพราะร่างกายเราไม่แข็งแรงสมบูรณ์เหมือนปกติ
ในการตั้งครรภ์ครั้งแรก เราไม่เคยแพ้ท้อง มีบ้างจากอาการไม่อยากอาหาร รู้สึกผะอืดผะอมแต่ไม่เคยอาเจียน ก็พยายามกินได้เรื่อยๆ แม้จะกินได้น้อย ท้องเราจะโตอย่างช้าๆ ไม่ได้ใหญ่โตพรวดพราด รูปร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักยันคลอด เรียกได้ว่าตลอดการตั้งครรภ์ครั้งแรกนั้น เราสุขสบายดีเหมือนคนไม่ได้ท้องค่ะ นอนหลับได้สบายในช่วงเวลากลางคืน มีอาการตะคริวที่น่องบ้างเป็นระยะแต่เราก็ยืดเหยียดได้เลยไม่มีปัญหา กลางวันสามารถทำงานได้เหมือนคนปกติที่ไม่ได้ท้องเลยค่ะ สามารถทำงานได้ยันวันคลอดเลย ส่วนช่วงคลอดนั้น ก็เจออุปสรรคจากการคลอดก่อนกำหนด เจอภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด มีมูกเลือดออกมาก่อนเวลาอันควร และท้องแข็งถี่ทุกๆ 10 นาที สรุปว่าเราคลอดก่อนวันที่กำหนดไว้ประมาณ 1 เดือน แต่การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อยดีค่ะ คุณหมอดูแลดีมาก และลูกเข้าตู้อบตามระเบียบ และเราสามารถฟื้นตัวได้ไว แค่สองอาทิตย์ก็สามารถเดินเหินได้ อุ้มลูกได้แบบปกติเลยค่ะ ร่างกายฟื้นตัวเร็วมาก อาจจะเพราะแผลที่หมอเย็บไว้อย่างประณีตด้วย เลยไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับเรามากนักค่ะ เราเลยค่อนข้าง happy กับการตั้งครรภ์ครั้งแรกค่ะ
มาในครั้งนี้ เราไม่ได้แพลนจะมีลูกแฝด แต่เขาก็มาแล้ว นับตั้งแต่เดือนแรกที่รู้ว่าตั้งครรภ์ แว๊บนั้นคือดีใจมากๆ เราไม่กลัวการตั้งครรภ์เลยค่ะ เพราะครั้งแรกสามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ เราเริ่มฝากครรภ์จริงๆจังๆคือเข้าเดือนที่ 3 เพราะตอนแรกอยากคลอดที่จุฬา แต่เขาไม่เปิดรับเคสใหม่ๆเนื่องจาก covid-19 ทำให้มีบุคลากรจำกัด สุดท้ายเลยต้องมาฝากที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านแทนค่ะ
ความไม่สบายตัว ไม่สบายใจเริ่มต้นตั้งแต่เดือนแรกของการตั้งครรภ์ค่ะ จากที่เราไม่เคยแพ้ท้องมาก่อน มาในครั้งนี้ เราแพ้ท้องหนักมาก อาเจียนทุกวัน หลังอาหาร ออกแบบหมดไส้หมดพุง ผะอืดผะอมกลิ่นอาหารตลอดเวลา แต่ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เราทราบว่าเราตั้งครรภ์แฝดจากการเจาะเลือดถึงสองครั้ง แล้วคุณหมอวัดค่า hcg ให้ บ่งบอกว่าเราตั้งครรภ์แฝด ยิ่งทำให้เราต้องพยายามกินอาหารมากขึ้น ประสบการณ์จากครั้งแรก ลูกเราน้ำหนักตัวน้อย และยังคลอดก่อนกำหนด เพราะเรากินน้อย แล้วเดินหนัก ทำงานเยอะ มาครั้งนี้เราก็ไม่อยากให้ซ้ำรอย ก็พยายามกินอาหารให้มากเข้าไว้ ให้หลากหลาย แม้จะต้องอาเจียนทุกครั้งหลังอาหารก็ตาม เราทำดีที่สุดได้เท่านี้ในช่วงไตรมาสแรก ที่แพ้แบบมาราธอน ยังดีว่าเราไม่ต้องเดินทางไปทำงาน เพราะสามารถทำงานจากที่บ้านได้ จากสถานการณ์ covid-19 ที่ต้อง wfh กันทั้งแผ่นดิน ไตรมาสแรกผ่านไปได้แบบทุลักทุเล และน้ำหนักเราแทบไม่ขึ้นเลย เพราะแพ้หนักมาก
เข้าไตรมาสที่ 2 อาการผะอืดผะอม และความไม่อยากอาหารหายไป อาการที่ต้องอาเจียนทุกครั้งหลังอาหารหายไป และเราเริ่มสามารถกินอาหารได้โดยที่ไม่ต้องอาเจียนอีกต่อไป ครั้งนี้เราพยายามกินทุกอย่างที่รู้สึกว่าดีกับลูก กินข้าวครบ 3 มื้อ กินผักผลไม้ งดชากาแฟโดยเด็ดขาด ของดิบที่ชอบก็งด เคยกินแซลมอลไปครั้งเดียว และก่อนกินก็ต้องถามหมอก่อนว่าเราอยากกินมาก เรากินได้ไหม หมออนุญาตเราก็จัดการเลย แต่ครั้งเดียว แม้จะชอบก็ตาม เราก็งด เรียกได้ว่า เรางดทุกอย่างที่เคยชอบ ชาไข่มุก กาแฟ ของยำจากทะเลสดๆ ก็งดค่ะ รอบนี้เราพลาดหนึ่งครั้ง เพราะเห็นพี่สาวกินยำหอยดอง.....แล้วเราอยากกินบ้าง เลยขอชิมแค่ตัวเดียว ตัวเดียวเท่านั้น เป็นหอยที่ราคาแพงที่สุดในชีวิต เพราะหลังจากกินเข้าไปขณะที่กำลังตั้งครรภ์ เราเกิดอาการอาหารเป็นพิษทันทีในเย็นวันนั้น อาเจียนจนน้ำดีออกมาเป็นสีเขียวๆ เลยต้องไปโรงพยาบาล แอดมิดไปหนึ่งคืนเต็มๆ ทรมาน และเข็ดหลาบจากการกินอาหารที่กินเพราะอยาก แต่มันไม่ควรกิน เข็ดมากๆค่ะ ไตรมาสนี้ เรื่องการกินอาหารต้องเลือกกินมากๆ อะไรที่ดูแสลงจะแตะไม่ได้เลย อาการอ่อนเพลียเริ่มมา และอาการเจ็บปวดตามหลัง และขาเริ่มเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของไตรมาสที่สองค่ะ เรื่องดีๆเรื่องเดียวในไตรมาสนี้คือ ลูกเราตัวโตขึ้นตามเกณฑ์ทั้งคู่ และเราสามารถทำน้ำหนักได้ดีมาก อาจจะมากเกินไปด้วย แค่ว่าไม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์คุณหมอก็พอใจค่ะ ดังนั้นช่วงนี้เราสามารถกินได้มากขึ้น และทำน้ำหนักได้ดีมากๆค่ะ
เข้าไตรมาสที่ 3 คือช่วงปัจจุบัน ในครั้งนี้ เราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้เลยค่ะ เราปวดขาจนต้องเข้ารับการกายภาพบำบัดจากแพทย์เฉพาะทาง เนื่องจากครรภ์แฝดที่ขยายใหญ่มากขึ้นกว่าครรภ์เดี่ยว เนื่องจากน้ำหนักตัวของทารกที่ขยายใหญ่ขึ้นทั้งสองคน และเกิดการเบียดกับเข้าอวัยวะภายในร่างกายของเรา ส่งผลให้เราไม่สามารถนอนหลับได้ในช่วงกลางคืนค่ะ เรานั่ง แล้ววูบหลับไปบ่อยๆในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืน หมอนคนท้องไม่สามารถช่วยเราได้ค่ะ ไม่ช่วยเลย เราเริ่มปวดมากขึ้นบริเวณน่องค่ะ มีอาการตระคริวบ้าง แต่เราสามารถยืดเหยียดให้หายไปได้ ตระคริวเราเลยไม่กลัว เรากลัวแค่เฉพาะตอนที่ความเจ็บปวดแบบลึกๆ (อธิบายไม่ถูก) เหมือนมันปวดมาจากข้างในอ่ะค่ะ ยกขาขึ้นสูงก็ไม่ช่วย เพราะเรานอนหงายไม่ได้อีกแล้วสำหรับช่วงเวลานี้ เราต้องนอนตะเเคง แต่ท้องก็ถูกรั้งไปทางด้านข้างค่ะ จนรู้สึกเจ็บ เอาหมอนดันไว้ก็อึดอัดมากๆ ไม่ว่าจะตะแคงด้านไหน ก็ไม่รู้สึกว่าการนอนของเราเต็มไปด้วยคุณภาพ เราเริ่มหลับๆตื่นๆทุกชั่วโมง เพื่อขึ้นมาเข้าห้องน้ำ และยังต้องทนปวดทรมานจากอาการปวดขา ที่มันเริ่มลามมาในตอนกลางวันเช่นกัน
เริ่มไตรมาส 3 มานี้ เราเริ่มอยากร้องไห้ เพราะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมากขึ้น ก่อนหน้าการตั้งครรภ์เรามักมีอาการแพ้อากาศอยู่บ่อยๆเวลาอากาศเปลี่ยนแปลงไวๆ จากร้อนไปหนาว หรือหนาวมาร้อน จะมีอาการคัดจมูก ก่อนท้องเราก็รักษาได้ตามประสาค่ะ แต่ตอนนี้ตั้งครรภ์ อาการคัดจมูกเริ่มมา เลือดกำเดาเริ่มไหลถี่ขึ้น แต่ตัวยาที่สามารถกินได้กลับมีจำกัด จะพ่นจมูกด้วยเสตรียรอยด์ เราก็ไม่กล้าทำมากค่ะ แล้วเวลาจมูกตันนี่คือตันแบบสมบูรณ์ ในแบบที่ล้างจมูกฉีดเข้าไปนี่ น้ำเกลือไม่สามารถไหลออกมาในอีกฝั่งได้อ่ะค่ะ มันตันขนาดนั้น ทั้งจมูกตัน ทั้งปวดขา ปวดท้องเพราะการนอน ทั้งหมดนี้ เริ่มทำลายสุขภาพการนอนของเราไปเรียบร้อย เพราะเรานอนไม่พอค่ะ จากอาการทางข้างต้นทำให้เรานอนไม่พอ เรียกว่านอนไม่ได้มากกว่า ทรมานมากๆ ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไง
เราเคยสนุกกับงานที่ทำ มาตอนนี้ก็เริ่มไม่มีสมาธิกับการทำงาน เพราะอาการปวดขามากๆ ทำลายสุขภาพจิตเราได้แบบสมบูรณ์ เรากลายเป็นโรคกลัวกลางคืนไปเลย เพราะแค่คิดว่าเวลาที่มืด คือเวลาที่เราต้องนอน แต่เรากลับนอนไม่ได้ นอนหลับไปได้แป๊บเดียวก็ตื่นจากอาการปวดขา ถ้าเรานอนดึกๆ รอให้ตัวเองง่วงๆ สุดท้ายเราก็ต้องตื่นเช้ามากๆอยู่ดี กลายเป็นว่าเรานอนไม่พอค่ะ แล้วก็เป็นหวัด แถมเป็นหวัดช่วงนี้เราก็กลัวว่าจะติด covid ไหม เช้ามาก็ตรวจ atk วนลูปอยู่แบบนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นโรคประสาทอ่ะค่ะ เพราะระแวงเวลากลางคืนว่าเราจะปวดแบบเมื่อวานอีกไหม อาการคัดจมูกจะหายเมื่อไหร่ ล้างน้ำเกลือแบบทุกทีได้ยากลำบากมากเพราะจมูกตันแบบสุดๆ ต้องใช้ยาพ่นที่หมอสั่งให้ ทุกอาการที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้สึกอยากย้อนเวลาอ่ะค่ะ ไม่อยากท้อง มีลูกคนเดียวก็จบแล้ว จะได้ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ทุกวันนี้ที่ทำได้คือนั่งจ้องปฏิทินค่ะ รอวันที่ตัวเองสามารถคลอดได้ นับทุกวันว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว อีกกี่วันที่เราจะคลอด ตอนนี้เราท้องกี่สัปดาห์กี่วันแล้ว ถ้าคลอดตอนนี้เลยจะปลอดภัยไหม ลูกยังดิ้นปกติดีหรือเปล่า หมอให้เริ่มนับได้ตอน 30 สัปดาห์ แต่ตอนนี้ไม่ดิ้น คือปกติไม๊ เราคิดวนไปวนมาแบบนี้ค่ะ รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเองที่รู้สึกเสียใจที่ตั้งครรภ์ในรอบนี้ค่ะ ทั้งๆที่ครั้งนี้เราได้ลูกสาว และลูกชายพร้อมกัน เราควรจะดีใจมากกว่านี้ไหมคะ
รู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ที่แย่มากๆที่มีความคิดแบบนี้ แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงค่ะ เวลาสุขภาพร่างกายเราไม่ปกติ มันเหมือนกระทบกับสภาพจิตใจของเราด้วย เราเลยมีสภาพแบบนี้ ถือว่าเป็นกระทู้ระบายนะคะ เพราะตอนนี้เรารู้สึกแย่มากจริงๆค่ะ
ในการตั้งครรภ์ครั้งแรก เราไม่เคยแพ้ท้อง มีบ้างจากอาการไม่อยากอาหาร รู้สึกผะอืดผะอมแต่ไม่เคยอาเจียน ก็พยายามกินได้เรื่อยๆ แม้จะกินได้น้อย ท้องเราจะโตอย่างช้าๆ ไม่ได้ใหญ่โตพรวดพราด รูปร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักยันคลอด เรียกได้ว่าตลอดการตั้งครรภ์ครั้งแรกนั้น เราสุขสบายดีเหมือนคนไม่ได้ท้องค่ะ นอนหลับได้สบายในช่วงเวลากลางคืน มีอาการตะคริวที่น่องบ้างเป็นระยะแต่เราก็ยืดเหยียดได้เลยไม่มีปัญหา กลางวันสามารถทำงานได้เหมือนคนปกติที่ไม่ได้ท้องเลยค่ะ สามารถทำงานได้ยันวันคลอดเลย ส่วนช่วงคลอดนั้น ก็เจออุปสรรคจากการคลอดก่อนกำหนด เจอภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด มีมูกเลือดออกมาก่อนเวลาอันควร และท้องแข็งถี่ทุกๆ 10 นาที สรุปว่าเราคลอดก่อนวันที่กำหนดไว้ประมาณ 1 เดือน แต่การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อยดีค่ะ คุณหมอดูแลดีมาก และลูกเข้าตู้อบตามระเบียบ และเราสามารถฟื้นตัวได้ไว แค่สองอาทิตย์ก็สามารถเดินเหินได้ อุ้มลูกได้แบบปกติเลยค่ะ ร่างกายฟื้นตัวเร็วมาก อาจจะเพราะแผลที่หมอเย็บไว้อย่างประณีตด้วย เลยไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับเรามากนักค่ะ เราเลยค่อนข้าง happy กับการตั้งครรภ์ครั้งแรกค่ะ
มาในครั้งนี้ เราไม่ได้แพลนจะมีลูกแฝด แต่เขาก็มาแล้ว นับตั้งแต่เดือนแรกที่รู้ว่าตั้งครรภ์ แว๊บนั้นคือดีใจมากๆ เราไม่กลัวการตั้งครรภ์เลยค่ะ เพราะครั้งแรกสามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ เราเริ่มฝากครรภ์จริงๆจังๆคือเข้าเดือนที่ 3 เพราะตอนแรกอยากคลอดที่จุฬา แต่เขาไม่เปิดรับเคสใหม่ๆเนื่องจาก covid-19 ทำให้มีบุคลากรจำกัด สุดท้ายเลยต้องมาฝากที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านแทนค่ะ
ความไม่สบายตัว ไม่สบายใจเริ่มต้นตั้งแต่เดือนแรกของการตั้งครรภ์ค่ะ จากที่เราไม่เคยแพ้ท้องมาก่อน มาในครั้งนี้ เราแพ้ท้องหนักมาก อาเจียนทุกวัน หลังอาหาร ออกแบบหมดไส้หมดพุง ผะอืดผะอมกลิ่นอาหารตลอดเวลา แต่ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เราทราบว่าเราตั้งครรภ์แฝดจากการเจาะเลือดถึงสองครั้ง แล้วคุณหมอวัดค่า hcg ให้ บ่งบอกว่าเราตั้งครรภ์แฝด ยิ่งทำให้เราต้องพยายามกินอาหารมากขึ้น ประสบการณ์จากครั้งแรก ลูกเราน้ำหนักตัวน้อย และยังคลอดก่อนกำหนด เพราะเรากินน้อย แล้วเดินหนัก ทำงานเยอะ มาครั้งนี้เราก็ไม่อยากให้ซ้ำรอย ก็พยายามกินอาหารให้มากเข้าไว้ ให้หลากหลาย แม้จะต้องอาเจียนทุกครั้งหลังอาหารก็ตาม เราทำดีที่สุดได้เท่านี้ในช่วงไตรมาสแรก ที่แพ้แบบมาราธอน ยังดีว่าเราไม่ต้องเดินทางไปทำงาน เพราะสามารถทำงานจากที่บ้านได้ จากสถานการณ์ covid-19 ที่ต้อง wfh กันทั้งแผ่นดิน ไตรมาสแรกผ่านไปได้แบบทุลักทุเล และน้ำหนักเราแทบไม่ขึ้นเลย เพราะแพ้หนักมาก
เข้าไตรมาสที่ 2 อาการผะอืดผะอม และความไม่อยากอาหารหายไป อาการที่ต้องอาเจียนทุกครั้งหลังอาหารหายไป และเราเริ่มสามารถกินอาหารได้โดยที่ไม่ต้องอาเจียนอีกต่อไป ครั้งนี้เราพยายามกินทุกอย่างที่รู้สึกว่าดีกับลูก กินข้าวครบ 3 มื้อ กินผักผลไม้ งดชากาแฟโดยเด็ดขาด ของดิบที่ชอบก็งด เคยกินแซลมอลไปครั้งเดียว และก่อนกินก็ต้องถามหมอก่อนว่าเราอยากกินมาก เรากินได้ไหม หมออนุญาตเราก็จัดการเลย แต่ครั้งเดียว แม้จะชอบก็ตาม เราก็งด เรียกได้ว่า เรางดทุกอย่างที่เคยชอบ ชาไข่มุก กาแฟ ของยำจากทะเลสดๆ ก็งดค่ะ รอบนี้เราพลาดหนึ่งครั้ง เพราะเห็นพี่สาวกินยำหอยดอง.....แล้วเราอยากกินบ้าง เลยขอชิมแค่ตัวเดียว ตัวเดียวเท่านั้น เป็นหอยที่ราคาแพงที่สุดในชีวิต เพราะหลังจากกินเข้าไปขณะที่กำลังตั้งครรภ์ เราเกิดอาการอาหารเป็นพิษทันทีในเย็นวันนั้น อาเจียนจนน้ำดีออกมาเป็นสีเขียวๆ เลยต้องไปโรงพยาบาล แอดมิดไปหนึ่งคืนเต็มๆ ทรมาน และเข็ดหลาบจากการกินอาหารที่กินเพราะอยาก แต่มันไม่ควรกิน เข็ดมากๆค่ะ ไตรมาสนี้ เรื่องการกินอาหารต้องเลือกกินมากๆ อะไรที่ดูแสลงจะแตะไม่ได้เลย อาการอ่อนเพลียเริ่มมา และอาการเจ็บปวดตามหลัง และขาเริ่มเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของไตรมาสที่สองค่ะ เรื่องดีๆเรื่องเดียวในไตรมาสนี้คือ ลูกเราตัวโตขึ้นตามเกณฑ์ทั้งคู่ และเราสามารถทำน้ำหนักได้ดีมาก อาจจะมากเกินไปด้วย แค่ว่าไม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์คุณหมอก็พอใจค่ะ ดังนั้นช่วงนี้เราสามารถกินได้มากขึ้น และทำน้ำหนักได้ดีมากๆค่ะ
เข้าไตรมาสที่ 3 คือช่วงปัจจุบัน ในครั้งนี้ เราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้เลยค่ะ เราปวดขาจนต้องเข้ารับการกายภาพบำบัดจากแพทย์เฉพาะทาง เนื่องจากครรภ์แฝดที่ขยายใหญ่มากขึ้นกว่าครรภ์เดี่ยว เนื่องจากน้ำหนักตัวของทารกที่ขยายใหญ่ขึ้นทั้งสองคน และเกิดการเบียดกับเข้าอวัยวะภายในร่างกายของเรา ส่งผลให้เราไม่สามารถนอนหลับได้ในช่วงกลางคืนค่ะ เรานั่ง แล้ววูบหลับไปบ่อยๆในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืน หมอนคนท้องไม่สามารถช่วยเราได้ค่ะ ไม่ช่วยเลย เราเริ่มปวดมากขึ้นบริเวณน่องค่ะ มีอาการตระคริวบ้าง แต่เราสามารถยืดเหยียดให้หายไปได้ ตระคริวเราเลยไม่กลัว เรากลัวแค่เฉพาะตอนที่ความเจ็บปวดแบบลึกๆ (อธิบายไม่ถูก) เหมือนมันปวดมาจากข้างในอ่ะค่ะ ยกขาขึ้นสูงก็ไม่ช่วย เพราะเรานอนหงายไม่ได้อีกแล้วสำหรับช่วงเวลานี้ เราต้องนอนตะเเคง แต่ท้องก็ถูกรั้งไปทางด้านข้างค่ะ จนรู้สึกเจ็บ เอาหมอนดันไว้ก็อึดอัดมากๆ ไม่ว่าจะตะแคงด้านไหน ก็ไม่รู้สึกว่าการนอนของเราเต็มไปด้วยคุณภาพ เราเริ่มหลับๆตื่นๆทุกชั่วโมง เพื่อขึ้นมาเข้าห้องน้ำ และยังต้องทนปวดทรมานจากอาการปวดขา ที่มันเริ่มลามมาในตอนกลางวันเช่นกัน
เริ่มไตรมาส 3 มานี้ เราเริ่มอยากร้องไห้ เพราะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมากขึ้น ก่อนหน้าการตั้งครรภ์เรามักมีอาการแพ้อากาศอยู่บ่อยๆเวลาอากาศเปลี่ยนแปลงไวๆ จากร้อนไปหนาว หรือหนาวมาร้อน จะมีอาการคัดจมูก ก่อนท้องเราก็รักษาได้ตามประสาค่ะ แต่ตอนนี้ตั้งครรภ์ อาการคัดจมูกเริ่มมา เลือดกำเดาเริ่มไหลถี่ขึ้น แต่ตัวยาที่สามารถกินได้กลับมีจำกัด จะพ่นจมูกด้วยเสตรียรอยด์ เราก็ไม่กล้าทำมากค่ะ แล้วเวลาจมูกตันนี่คือตันแบบสมบูรณ์ ในแบบที่ล้างจมูกฉีดเข้าไปนี่ น้ำเกลือไม่สามารถไหลออกมาในอีกฝั่งได้อ่ะค่ะ มันตันขนาดนั้น ทั้งจมูกตัน ทั้งปวดขา ปวดท้องเพราะการนอน ทั้งหมดนี้ เริ่มทำลายสุขภาพการนอนของเราไปเรียบร้อย เพราะเรานอนไม่พอค่ะ จากอาการทางข้างต้นทำให้เรานอนไม่พอ เรียกว่านอนไม่ได้มากกว่า ทรมานมากๆ ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไง
เราเคยสนุกกับงานที่ทำ มาตอนนี้ก็เริ่มไม่มีสมาธิกับการทำงาน เพราะอาการปวดขามากๆ ทำลายสุขภาพจิตเราได้แบบสมบูรณ์ เรากลายเป็นโรคกลัวกลางคืนไปเลย เพราะแค่คิดว่าเวลาที่มืด คือเวลาที่เราต้องนอน แต่เรากลับนอนไม่ได้ นอนหลับไปได้แป๊บเดียวก็ตื่นจากอาการปวดขา ถ้าเรานอนดึกๆ รอให้ตัวเองง่วงๆ สุดท้ายเราก็ต้องตื่นเช้ามากๆอยู่ดี กลายเป็นว่าเรานอนไม่พอค่ะ แล้วก็เป็นหวัด แถมเป็นหวัดช่วงนี้เราก็กลัวว่าจะติด covid ไหม เช้ามาก็ตรวจ atk วนลูปอยู่แบบนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นโรคประสาทอ่ะค่ะ เพราะระแวงเวลากลางคืนว่าเราจะปวดแบบเมื่อวานอีกไหม อาการคัดจมูกจะหายเมื่อไหร่ ล้างน้ำเกลือแบบทุกทีได้ยากลำบากมากเพราะจมูกตันแบบสุดๆ ต้องใช้ยาพ่นที่หมอสั่งให้ ทุกอาการที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้สึกอยากย้อนเวลาอ่ะค่ะ ไม่อยากท้อง มีลูกคนเดียวก็จบแล้ว จะได้ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ทุกวันนี้ที่ทำได้คือนั่งจ้องปฏิทินค่ะ รอวันที่ตัวเองสามารถคลอดได้ นับทุกวันว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว อีกกี่วันที่เราจะคลอด ตอนนี้เราท้องกี่สัปดาห์กี่วันแล้ว ถ้าคลอดตอนนี้เลยจะปลอดภัยไหม ลูกยังดิ้นปกติดีหรือเปล่า หมอให้เริ่มนับได้ตอน 30 สัปดาห์ แต่ตอนนี้ไม่ดิ้น คือปกติไม๊ เราคิดวนไปวนมาแบบนี้ค่ะ รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเองที่รู้สึกเสียใจที่ตั้งครรภ์ในรอบนี้ค่ะ ทั้งๆที่ครั้งนี้เราได้ลูกสาว และลูกชายพร้อมกัน เราควรจะดีใจมากกว่านี้ไหมคะ
รู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ที่แย่มากๆที่มีความคิดแบบนี้ แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงค่ะ เวลาสุขภาพร่างกายเราไม่ปกติ มันเหมือนกระทบกับสภาพจิตใจของเราด้วย เราเลยมีสภาพแบบนี้ ถือว่าเป็นกระทู้ระบายนะคะ เพราะตอนนี้เรารู้สึกแย่มากจริงๆค่ะ
- 이전글เพิ่งจับได้ว่าสามีนอกใจ ทำใจยังไงให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้คะ 23.06.21
- 다음글ความจริง…ที่ตอกย้ำว่ามหาสมุทรคือดินแดนที่แสนเร้นลับเพียงใด!! 23.06.21
댓글목록
등록된 댓글이 없습니다.